คลินิครัก

เมื่อเพื่อนนอกใจสามี

คุณจะทำอย่างไร ถ้ารู้ว่าเพื่อนกำลังมีพฤติกรรมผิดศีลธรรม ?
และผิดหรือไม่ถ้าพยายามจะช่วยเหลือ และจะช่วยเหลืออย่างไร
จึงจะไม่ให้สถานการณ์เลวร้ายไปกว่าที่เป็นอยู่ ?

'จ้อย' เครียดมากเมื่อพบว่า ทุกครั้งที่ไปเยี่ยมเพื่อนสาวที่บ้านและความคุ้นเคย จึงเดินเลยเข้าในห้องนอน แล้วก็พบว่าเพื่อนสาวมีการซื้อยานอนหลับมากินเป็นกำๆ ทำให้เธอตกใจว่าเพื่อนมีเจตนาจะทำอะไร เพื่อนคนนี้คบหากันมาตั้งแต่เด็กๆ เรียนหนังสือด้วยกัน โตมาด้วยกันจนแต่งงานมีสามีมีลูกวัยรุ่นด้วยกันทั้งสองฝ่าย ทั้งสามีเธอก็เป็นคนดี และต่างก็เป็นเพื่อนกันเสมอมา ต้องพูดหว่านล้อมเกลี้ยกล่อมกันอยู่นาน กว่าจะได้รับรู้ว่า เพื่อนสาวกำลังนอกใจสามี มีความสัมพันธ์กับเพื่อนชายซึ่งแต่งงานมีครอบครัวแล้ว และต่างก็เป็นเพื่อนกันมาหลายปีเช่นกัน เธอบอกว่าเธอรักผู้ชายคนนั้น ในขณะเดียวกันก็รักสามีตัวเองด้วย !

อรอนงค์ อินทรจิตร
นรินทร์ กรินชัย

เมื่อแรกที่รับรู้ความต้องการที่จะให้เพื่อนเลิก ก็ใช้วิธีด่าว่ารุนแรงเพื่อให้เพื่อนเจ็บจำ และเลิกพฤติกรรมดังกล่าวเสีย แต่นานไปเพื่อนเลยไม่ค่อยเล่าอะไรให้ฟัง กลับยิ่งเงียบขรึม โศกเศร้าหมกมุ่นครุ่นคิดอยู่คนเดียว ยิ่งทำให้เธอวิตกกังวลมากขึ้น เกรงว่าเพื่อนจะคิดสั้น หรือเป็นฝ่าย 'เก็บ' ผู้ชายคนนั้นเสียเองด้วยความแค้น

หลายเดือนมานี้เธอได้ทุ่มเทเวลาให้กับเพื่อนรักคนนี้ โดยพยายามพาไปเที่ยว ไปทำบุญไปไหว้พระเพื่อให้เธอสบายใจ ซึ่งบางครั้งเพื่อนก็รู้สึกดีขึ้นทำใจจะเลิกได้ แต่แล้วก็เปลี่ยนไป ทำใจไม่ได้อีก เธอจึงซักถามเอาความจริงมากขึ้น เพื่อนก็บอกว่าเวลาโทรฯไปหาผู้ชายให้ออกมาพบ เขาก็จะบ่ายเบี่ยงไม่ยอมออกมา ทำให้เธอมุมานะจะเอาชนะ หรือรู้สึกท้อแท้ที่ผู้ชายคงไม่มีเยื่อใย แต่พอเธอออกไปพบเขาที่ทำงาน เขาก็พูดด้วยดี อ่อนหวานเอาอกเอาใจอย่างเคย แล้วก็พากันไปโรงแรม และทุกครั้งเขาก็พร่ำพรอดแต่คำหวานทำให้เธอหลงใหลไม่เสื่อมคลาย แล้วความสัมพันธ์ ก็ดำเนินเรื่อยมาในลักษณะนี้

เธอเคยถามเพื่อนตรงๆ ว่าความสัมพันธ์ทางเพศกับสามีที่บ้านไม่ดีหรือไง เธอบอกว่าดีทุกอย่าง แต่คนนี้ดีกว่า ! 'จ้อย' ฟังแล้วก็อึ้งไปและสรุปว่าเพื่อนสาว หลงเสน่ห์ทางเพศของผู้ชายคนนี้และทั้งที่เห็นใจ แต่เธอก็รู้ว่ายิ่งปล่อยให้เหตุการณ์ดำเนินไปนานเท่าไร ผลร้ายจะยิ่งตกอยู่กับเพื่อนสาว 'จ้อย' บอกว่าสามี ของเพื่อนสาวคนนี้เป็นผู้ชายมุทะลุดุดันพอสมควร แม้ว่าโดยทั่วไปเขาจะเป็นคนดี แต่เรื่องนี้เขาคงไม่ยอม ผู้ชายไทยส่วนใหญ่ยอมรับไม่ได้ที่จะได้ชื่อว่าถูกภรรยาสวมเขาให้ ! เพราะฉะนั้น 'จ้อย' จึงกลัวมาก ว่าจะเกิดเรื่องรุนแรงตามมา

สำหรับผู้ชายคนนี้ เขาเป็นคนรักลูกรักเมีย การที่จะคิดว่า เขาจะเลิกมาแล้วมาแต่งงาน กับเพื่อนสาวนี้นั้นเป็นไปไม่ได้ เพราะฉะนั้นเธอจึงสรุปว่า 'ไอ้ผู้ชายคนนี้มันหลอกลวงเพื่อนเธอ' แต่ 'จ้อย' ก็มีคำถามว่า นี่เราก็อายุกันเกือบจะ 50 ปี แล้วนะ ทำไมมันไม่ไปหลอกเด็กสาวๆ แทนที่จะเป็นคนอายุขนาดเรา หรือมันรู้ว่าคนอายุขนาดเราไม่กล้าโวยวาย แล้วมันเป็นความสมัครใจ ของฝ่ายเราจะให้เขาหลอกด้วย !

'จ้อย' บอกว่าฝ่ายชายยังไม่รู้ว่าเธอรู้เรื่องนี้ด้วย ใจหนึ่งก็อยากไปบอกตรงๆ ให้เลิกเสีย ใจหนึ่งก็กลัวเขาจะย้อนกลับมาว่าไม่ใช่เรื่องของเธอ เธอควรจะทำอย่างไรดี ?

ผู้เขียนแนะนำให้เธอไปคุยกับผู้ชายตรงๆ บอกให้เขาเลิกพฤติกรรมนี้เสีย เพราะดูเหมือนเขา จะใช้เสน่ห์ผูกมัดเพื่อนสาวเอาไว้ ถ้าเขาได้มีการตกลงพูดจากับเธอดีๆ เพื่อเห็นแก่ลูกๆ และคู่สมรสที่บ้าน จะช่วยให้ต่างฝ่ายสามารถคบหาเป็นเพื่อนกันต่อไปได้ เพราะถ้าเพื่อนชายพูดขอเลิกดีๆ กับเพื่อนสาว ไม่ทำให้เธอเสียใจหรือรู้สึกอับอายเชื่อว่าเพื่อนจะทำใจเลิกได้ แต่ถ้าเขาก้าวร้าวรุนแรงหรือปฏิเสธเธอ โดยไม่พูดจา เกรงว่าจะทำให้ฝ่ายหญิงเป็นฝ่ายทำรุนแรง เช่น ฆ่าตัวตายหรือฆ่าฝ่ายชายให้ตายไปตามกัน ก็จะยิ่งเป็นความเสียหายที่มากมาย โดยเฉพาะกับลูกๆ และคนข้างหลัง ส่วนที่จะคบหากันไปแบบนี้ ไม่นานสามีและภรรยาของคนทั้งสองก็คงจะจับได้ เพราะฉะนั้นอย่างไรก็ต้องเลิก จึงควรต้องเลิกเสียแต่เดี๋ยวนี้ !

ส่วนที่เธอเกรงว่าฝ่ายชายจะโต้ว่า 'ไม่ใช่เรื่องของเธอ !' ก็บอกเขาไปเลยว่า รู้ว่าไม่ใช่เรื่องของคนอื่น แต่ 'จ้อย' ยังไม่อยากเห็นเขาตายไปก่อนที่จะได้เห็นลูกโต เพราะฉะนั้นเขาต้องยุติเรื่องนี้ให้เรียบร้อยไม่โวยวาย !

ใช่…มันเป็นเรื่องน่าเศร้าใจที่จะต้องรับรู้เรื่องราวเหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็นสามีของเพื่อนสาว หรือภรรยาของฝ่ายชาย แต่ถ้าทั้งสองฝ่ายหรือผู้หนึ่งผู้ใดที่กำลังตกอยู่ในฐานะที่ภรรยาหรือสามีนอกใจ ไปมีความสัมพันธ์กับคนอื่น ขอให้ตั้งสติและทบทวนถึงความจริงว่า ทุกอย่างเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ เป็นไปได้ เพราะสังคมทุกวันนี้ เราต่างดำเนินชีวิตที่ติดอยู่กับวัตถุ จนบางทีเราก็หลงลืมความสัมพันธ์ ฉันเพื่อนมนุษย์ด้วยกันไป จนทำให้คนใกล้ไม่ได้รับการตอบสนองในสิ่งที่เขาหรือเธอต้องการ หรือหากจะเป็นความต้องการจาก 'อารมณ์ส่วนเกิน' ของเขาหรือเธอกันบ้าง ก็ขอให้ระงับสติอารมณ์ ให้พูดกันดีๆ อย่างเพื่อน อย่างมิตรที่คุ้นเคย อะไรที่พออภัยกันได้บ้างก็ขอให้อภัยต่อกัน อย่าไปคิดว่า ถ้าเขาหรือเธอสวมเขาให้ แล้วเราจะรับไม่ได้ต้องจัดการให้เด็ดขาดกันไป !

เหตุการณ์เช่นนี้ เราก็คงได้ยินได้เห็นกันมาบ่อยๆ แม้บนหน้าหนังสือพิมพ์ประจำวันทุกวันนี้ เพราะฉะนั้นก็ขออย่าได้ทำอะไรที่จะสร้างความสูญเสียชีวิตและจิตใจของเรา ของลูก ของคนที่รักเรามากไปกว่านี้ คนที่รักเราจะเสียใจเพราะการกระทำที่รุนแรงของเรา ไม่ใช่แต่ลูกเมียหรือผัวของเรา คนที่รักเรายังมีพ่อแม่เพื่อนฝูง ญาติมิตรของเราอีกมากมาย ที่จะต้องเสียใจกับการกระทำของเรา

เคยมีผู้หญิงที่เป็นภรรยามาปรึกษากรณีที่สามีที่รักกันมาตั้งแต่สมัยเป็นนักศึกษา แต่งงานอยู่กินกันมาจนลูกโตเป็นหนุ่มสาว สามีก็ยังอุตส่าห์ไปมี 'อีหนู' เสียทั่วไปหมด เธอต้องคอยวิ่งไปแก้ไขเหตุการณ์ให้ จนนึกไม่ออกว่าจะทำอย่างไรต่อไป จะหย่าก็เกรงว่า จะทำให้หน้าที่การงานของทั้งสองต้องมัวหมอง เพราะต่างฝ่ายอยู่ในระดับบริหาร ไม่รู้จะจัดการอย่างไร พฤติกรรมของเขาเป็นที่ระอากับทั้งเธอและลูกๆ จนไม่มีใครอยากคุยด้วย เวลาเขาอยู่บ้าน จึงเหมือนอยู่อย่างโดดเดี่ยว เพราะไม่มีใครสนใจจะพูดด้วย ซึ่งก็เป็นวิธีหนึ่งที่เธอและลูกๆ ตั้งใจทำเพื่อเป็นการลงโทษเขา แต่เขาก็ไม่ดีขึ้นเลย

ผู้เขียนได้แนะนำให้เธอลองดึงตัวเองออกมา อย่าไปคิดแต่ว่าเราเป็นภรรยาที่สามีนอกใจ แต่จงมองว่า ผู้ชายคนนี้เป็นเพื่อนที่คบหากันมานาน ถึงวันนี้เพื่อนมีปัญหา แต่เขาอาจไม่กล้าจะไปปรึกษาใคร ก็จะมีแต่คุณเท่านั้นที่เขาพอจะพึ่งพาได้ เพราะฉะนั้นจงเป็นเพื่อที่ดีที่สุดของเขาในการช่วยเขา แก้ไขสถานการณ์ และไม่ว่าสถานการณ์นั้นจะเป็นเรื่องที่ทำให้คุณเจ็บช้ำน้ำใจก็ตาม แต่ขอให้นึกว่า ตัวเขาเองก็เจ็บปวดและอับอายเช่นกัน เขาคงไม่อยากให้เหตุการณ์ที่ไม่เป็นที่ยอมรับของสมาชิก ในครอบครัวเกิดขึ้น แต่เมื่อมันเกิดขึ้นแล้ว จงร่วมมือกันแก้ไขอย่างใจเย็นและเรียนรู้ ที่จะให้อภัยในความผิดพลาดของกันและกันบ้าง

เช่นกัน ในกรณีของเพื่อนของจ้อยคนนี้ เธอเองเสียใจทุกข์ใจอับอายและโกรธตัวเอง ที่ปล่อยตัวปล่อยใจไปทำในสิ่งที่ผิดศีลธรรม ทั้งที่ผ่านมาเธอก็ไม่เคยทำอะไรที่ผิดพลาดมาก่อน เพราะฉะนั้นความใกล้ชิดกับการได้รู้รสชาติทางเพศที่ต่างไปจากเดิม อาจทำให้หัวใจเธอหวั่นไหวไปบ้าง แต่ด้วยความร่วมมือของฝ่ายชาย และด้วยความเข้าอกเข้าใจ และการให้อภัยจากสามี จะทำให้เธอสามารถทำใจถอนตัวจากเหตุการณ์ครั้งนี้ได้ด้วยความรู้สึกที่ไม่บาดเจ็บ หรือเคียดแค้นจนเกินกว่าจะเยียวยา

ในความเป็นเพื่อน 'จ้อย' ได้แสดงออกถึงความเป็นเพื่อนที่ดีที่สุด เธอไม่ได้เล่าให้สามีตัวเองฟัง เพราะกลัวเพื่อนจะเสียหาย เธอให้เวลาและพร้อมจะเข้าไปช่วยเหลือ เพื่อให้เหตุการณ์ยุติลงด้วยดี และที่สำคัญ เธอควรพาเพื่อนมาคุยกับนักจิตวิทยา เพื่อรับการ 'เตือนสติ' จากคนใกล้ชิด หรือผู้ที่รับรู้เหตุการณ์

เพราะจริงๆ แล้วการทำตัวเป็น 'แมวขโมย' ขโมยปลาย่างนั้น มันไม่ใช่วิสัยของลูกผู้ชายที่แท้จริง และไม่ว่าผู้หญิงจะยินยอมหรือสมัครใจ ก็ไม่ใช่สิ่งที่ผู้อยู่ในศีลธรรมจะพึงกระทำ หากจะบอกว่า เป็นสันดานมักง่ายของผู้ชายทุกคน ก็ขอให้จำไว้ด้วยเช่นกันว่า ผู้ชายมักง่ายเหล่านี้ มีภาพข่าวอยู่บนหนังสือพิมพ์หน้าแรกเกือบทุกวัน และคนต่อไปอาจเป็นเขาก็ได้ !

(update 18 เมษายน 2001)

 

เครียดเพราะเซ็กส์

ในความเครียดของผู้หญิงนั้น มีสาเหตุมากมายหลายคนมีปัญหา เพราะสามีมีความต้องการทางเพศสูง สูงจนทำให้ภรรยามีความรู้สึกเหมือนตัวเองไม่ใช่คน จนนึกสาปแช่งขอให้เขาเป็นคนใหม่ หรือเจอะเจอใครที่พอจะช่วยแบ่งเบาภาระนี้ไปจากเธอบ้าง แต่สามีก็ดีไม่เคยนอกใจ ไม่เคยไปไหน มิหนำซ้ำถ้าภรรยาพูดจากับชายใด ก็จะแสดงความหึงหวง ทึกทักเอาว่า เอาใจออกห่าง ทั้งๆ ที่ภรรยาแสนจะอับอายคับข้องใจจนต้องถามว่า

อรอนงค์ อินทรจิตร
นรินทร์ กรินชัย

' เธอหึงหวงฉันไม่เลือก เคยมองสารรูปเมียตัวเองบ้างหรือเปล่า ว่าทุเรศแค่ไหน ใครเขาจะเอา ! '

'จ๋า' บอกว่า เธอเป็นผู้หญิงวัย 40 ปี รูปร่างผอมแห้ง หน้าตาเครียดโศกเศร้า เพราะความเบื่อหน่ายชีวิตตลอดหลายปีที่ผ่านมา ซึ่งมันเหนื่อยล้าเหลือเกิน ไหนจะต้องทำงานนอกบ้าน ที่บริษัทเอกชนแห่งหนึ่ง แล้วยังเป็นแม่บ้าน กลับมาบ้านต้องทำงานทุกอย่างในบ้าน เธอแต่งงานมาเกือบ 20 ปี มีลูกวัยรุ่นสองคนที่ต้องการการดูแลใกล้ชิดจากแม่ นอกจากนั้นยังต้องดูแลปรนนิบัติสามีวัยไล่เลี่ยกัน เขาก็เหมือนผู้ชายไทยทั่วไป ที่ทำแต่งานนอกบ้าน รับผิดชอบส่งเสียเงินทองไม่ไปยุ่งเกี่ยวสร้างปัญหากับใคร ก็ถือว่าตัวเองดีแล้ว เรียกร้องให้เมียต้องคอยใส่ใจดูแลใกล้ชิดไม่ต่างไปจากลูกๆ เรื่องการช่วยเหลือ จัดการงานภายในบ้านนั้น เขาถือว่าไม่ใช่หน้าที่ของสามี ถึงเวลาเข้านอน เธอเหนื่อยล้า จนอยากแต่จะล้มตัวลงนอนแล้วหลับไป แต่สามีกลับเรียกร้องที่จะให้มีเพศสัมพันธ์ด้วย โดยไม่สนใจว่าเธอต้องการหรือไม่ หรือไม่พ้อมอย่างไร ที่แย่สำหรับเธอก็คือ เขามีความต้องการทางเพศสูงมาก !

'จ๋า' รู้สึกว่าหลายปีที่ผ่านมา เธอเหนื่อยและล้ามากกับภาระทุกอย่างในบ้าน รวมทั้งทำงานนอกบ้านด้วย แทบไม่มีเวลาจะให้กับตัวเอง ผมเผ้าเสื้อผ้าล้าสมัย จะไปคบหาพูดจากับใครที่เป็นผู้ชายเข้า ผัวก็ตามหึงหวงจนเธอรู้สึกอยากจะตายๆ ไปเสียให้พ้นจากโลกนี้ รู้สึกอับอายเพื่อนฝูงคนทั่วไปเหลือเกิน จะพูดจาขอร้องอธิบายอย่างไรสุดท้ายก็เข้ารูปเดิม ในขณะที่เขามีความสุขกับการได้ดูดซับความสุข จากเรือนร่างของเธอ เธอกลับรู้สึกเหมือนตัวเองถูกข่มขืนครั้งแล้วครั้งเล่า จนเหมือนไม่ใช่คน !

'จ๋า' เล่าไปร้องไห้ไปด้วยความโกรธ เครียด และท้อใจ เธอได้พยายามพูดขอร้องให้เขา ลดความต้องการทางเพศลง หรือจะไปหาผู้หญิงที่ไหนก็ได้ แต่เขาไม่ต้องการ เขาบอกเขารักเธอ ต้องการเธอเพียงคนเดียว และต้องการมาก วันเวลาที่ผ่านไปทำให้ความต้องการของเขาลดน้อยลง แต่นับวัน 'จ๋า' กลับเปลี่ยนเป็นความรังเกียจเบื่อและหมดความต้องการไปเฉยๆ เมื่อเขาเรียกร้องเธอ เธอกลับรู้สึกเหมือนเลือดเนื้อและชีวิตกำลังถูกทารุณกรรมจากคนที่เป็นสามี และความต้องการที่จะหย่า จากสามีก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

จากพฤติกรรมที่เล่ามา ได้สะท้อนให้ 'จ๋า' ตระหนักว่า โดยความจริงสามีเป็นคนดี เป็นสามีที่ดี รักเดียวใจเดียวมีความรับผิดชอบ แต่ทัศนคติที่เขามีต่องานบ้านว่าจะต้องเป็นความรับผิดชอบของภรรยานั้น คงต้องปรับเปลี่ยน ต้องมีการพูดคุยกันเพื่อชี้ให้เขาเห็นว่า งานบ้านต้องเป็นความรับผิดชอบของทั้งสองฝ่าย รวมทั้งการดูแลลูกๆ ด้วย ไม่ใช่เป็นภาระหน้าที่ของเธอตามลำพัง ไม่เช่นนั้น 'จ๋า' ก็ต้องลาออกจากงาน มารับภาระหน้าที่ที่บ้านอย่างเดียว ซึ่งผู้หญิงทุกคนที่มีอาชีพอยู่แล้ว ในสภาวะเศรษฐกิจเช่นนี้ก็ไม่ควรลาออก แต่สามีต้องช่วยแบ่งเบาความรับผิดชอบด้วย การที่เขากลับบ้านไม่ทำอะไร ไม่มีการออกกำลังกาย ทำให้จิตใจหมกมุ่นฝักใฝ่แต่เรื่องเพศ และเรียกร้องให้ภรรยาตอบสนอง นอกจากไม่เป็นการแบ่งเบา ความทุกข์ยากแล้ว ยังเป็นการตักตวงความสุขจากเรือนร่างภรรยาโดยไม่คำนึงถึงอารมณ์และความรู้สึกของเธอ เรื่องนี้ต้องมีการพูดกันหรือพาเขาไปพบนักจิตวิทยา จิตแพทย์เพื่อขอคำปรึกษาแนะนำ ซึ่ง 'จ๋า' บอกว่า สามีเธอไม่เคยมีความเชื่อเรื่องการไปพบจิตแพทย์ เขารับราชการตำแหน่งหัวหน้า คิดว่าตัวเองทำดี ถูกต้อง รู้เรื่องทุกอย่างดีแล้ว

กรณีนี้ก็คงเหมือนๆ กับผู้ชายไทยมากมายที่ไม่มีความเชื่อในการไปขอคำปรึกษาแนะนำ หรือมีความไม่กล้าที่จะยอมรับความไม่ปกติของตนเอง โดยเฉพาะลึกๆ แล้วก็รู้ตัวอยู่ว่า กำลังเอาเปรียบภรรยาหรือแสดงความเห็นแก่ตัวอยู่ จึงไม่ต้องการจะให้คนอื่นต้องรับรู้ เพราะฉะนั้นก็เป็นหน้าที่ของ 'จ๋า' ในฐานะผู้ที่ต้องทุกข์กายทุกข์ใจกับพฤติกรรมของสามี ต้องจัดการเจรจาต่อรอง เพื่อรักษาความเป็นครอบครัวเอาไว้ แทนที่จะอดทน จนทนไม่ได้ต้องหย่าจากกัน !

ในขณะที่ กรณีของ 'จ๋า' ต้องเครียดกับการตอบสนองต่อความต้องกทางการเพศของสามี เกินความต้องการ แต่ก็มีผู้หญิงอีกมากมายเช่นกันที่ 'เซ็กซ์' กลายเป็นเรื่องต้องห้าม สำหรับความเป็นสามีภรรยาโดยที่เธอไม่สามารถ 'ไขปริศนา' ครั้งนี้ได้ ดังในกรณีของ 'เบญ' ผู้หญิงวัย 33 ปี แต่งงานอยู่กินกับสามีมาเจ็ดปี มีลูกสองคน ทั้งสองรักกันคบหากัน ในที่ทำงานเดียวกันสองปี ก่อนจะแต่งงานจนทุกวันนี้ ก็ยังทำงานอยู่ด้วยกัน

'เบญ' เป็นคนกรุงเทพฯ ส่วนสามีเป็นคนใต้หรือมาจากจังหวัดในภาคใต้ ครอบครัวเป็นคนฐานะปานกลาง ถึงจะไม่ใกล้ชิด ก็ไม่เป็นปัญหา แต่ปัญหาอยู่ที่ตัวสามีเอง ที่เป็นคนไม่ค่อยพูด โดยเฉพาะเมื่ออยู่กับเธอ เขาพูดนับคำได้ แต่ในกลุ่มเพื่อนฝูงก็บอกว่า เขาเป็นผู้ชายร่าเริงดี คบหาเป็นแฟนกันอยู่สองปี จึงตัดสินใจแต่งงาน และที่ตัดสินใจแต่งงาน ก็เพราะพลาดมีความสัมพันธ์กัน จนเธอตั้งครรภ์จึงต้องแต่งงาน

และตั้งแต่เธอตั้งครรภ์ครั้งนั้นแล้ว เขาก็ไม่เคยยุ่งกับเธออีกเลย ไม่ว่าเธอจะเป็นฝ่าย เข้าโอบกอดเล้าโลม หรือเป็นฝ่ายเริ่มต้นก่อน เขาจะปฏิเสธทุกครั้งไป เธอก็ไม่เข้าใจพยายามถามว่า ' รังเกียจเธอหรือเธอทำอะไรผิดไป ทำไมถึงไม่ต้องการเธอ ? ' เขาก็ไม่เคยตอบ ได้แต่บ่ายเบี่ยงและเดินลุกหนีไป

มาตั้งครรภ์คนที่สองอีกครั้ง ก็เมื่อเธอเมาเหล้าหลังจากกลับมาจากฉลองกับเพื่อนๆ แล้ว ซึ่งความสัมพันธ์ครั้งนี้ก็นำไปสู่การมีลูกคนที่ถัดมา จากนั้น จากวันนี้เจ็ดปี ก็ยังไม่เคยมีเพศสัมพันธ์กันอีกเลย 'เบญ' ยอมรับว่าแรกๆ เธอเจ็บปวดน้อยใจและสับสน ว่าทำไมชีวิตสมรสกับคนที่ตัวรักจึงกลับกลาย เป็นเช่นนี้ได้ เธอได้พยายามใช้วิธีการสื่อสารทุกรูปแบบเท่าที่จะศึกษาค้นคว้ามาพูดคุยกับสามี เคยชวนเขาไปพบจิตแพทย์ เขาก็ปฏิเสธไม่สนใจจะร่วมมือในการแก้ไขเหตุการณ์ สำหรับเขาแล้ว ไม่มีอะไรที่ผิดปกติและเขาก็ไม่เคยนอกใจ

ทำงานด้วยกัน อาจจะต่างคนต่างกลับเพราะเขาทำงานที่ต้องติดต่อลูกค้า จึงเป็นเรื่องธรรมดา ที่จะกลับไม่ตรงกัน แต่เขาก็ไม่เคยหายไปไหน ไม่เคยสนใจผู้หญิงอื่น ตลอดเวลาที่ผ่านมา เขาเป็นสามีที่ดี มีความรับผิดชอบดูและครอบครัว เพียงแต่เขาจะไม่สนใจในเรื่องเพศ ในขณะที่ความเยาว์วัย ทำให้เธอเร่าร้อนไปด้วยไฟปรารถนา ที่ไม่เคยได้รับการตอบสนอง

มันเป็นความเครียด! เครียด! จนกลายเป็นความ 'เกลียด' ในสุดท้าย เพราะถึงจะทำใจได้ ยอมรับว่าเขาไม่ชอบเรื่องนี้ พยายามข่มกายข่มใจไม่ให้เกิดความต้องการ พยายามจะยอมรับเขาอย่างที่เขาเป็น พยายามพูดกับตัวเองเสมอๆ ว่า 'เราอยู่กันเหมือนพี่น้องนะ ! แต่ลึกๆ 'เบญ' รู้สึกตัวเองไม่มีค่า ไม่น่ารัก ไม่เป็นที่ปรารถนา มันทำให้ตัวเธอเองไม่มีความมั่นใจตัวเอง ไม่เห็นคุณค่าของตัวเอง แล้วก็ทำให้ต้องถามตัวเองต่อไปว่า ' ทำไมเราต้องทนอยู่กับคนที่ไม่เห็นคุณค่าของเรา ?!?'

ความจริง 'เบญ' คิดว่า ถึงหากไม่มีเซ็กซ์กัน อยู่กันอย่างพี่น้องอย่างเพื่อนด้วยสันติ ก็คงจะไม่มีปัญหามากมายอะไร คือต่างฝ่ายต่างปรับตัวเข้าหากันได้ แต่พฤติกรรมสามีเองก็มีแต่ความเครียด กลับบ้านมาจะต้องหาเรื่องดุด่าว่ากล่าว ส่งเสียงตะโกนตะคอกลูกๆ ที่กำลังซุกซนและจุกจิก ซึ่งไม่จำเป็นที่เขาจะต้องส่งเสียงดังขนาดนั้น เธอเองก็เครียด แต่ไม่เคยระบายออกกับลูก แต่เขากลับไม่สามารถควบคุมตัวเองได้เลย มันทำให้เธอหงุดหงิดอารมณ์เสียไปด้วย

เพราะฉะนั้นแทนที่จะอยู่กันอย่างเงียบๆ สงบๆ ความเครียดของเขา จะด้วยจากสาเหตุอะไรเธอไม่รู้ แต่ก็ทำให้เธอพลอยเครียดเพิ่มขึ้นไปด้วย และเมื่ออยู่ด้วยกัน ต่างฝ่ายต่างเครียด ลูกๆ ก็สัมผัสถึงความเครียดนี้ แล้วก็พลอยเครียดกันไปหมดทั้งบ้าน ทำให้ 'เบญ' ต้องถามตัวเองว่า นี่มันเกิดอะไรขึ้นในบ้านหลังนี้ และมันมีสาเหตุมาจากอะไรซึ่งก็สรุปได้ว่า นอกจากเขาจะไม่มีความสนใจเรื่องเพศ ไม่ได้ทำหน้าที่สามี ทางพฤตินัยแล้ว เขายังนำความเครียดของเขามาระบายกับลูกเมีย โดยไม่ได้คำนึงถึงความเครียดของเธอ ที่มีอยู่เป็นทุนเดิมแล้ว และนับวันเขาจะทำให้เด็กๆ มีปัญหาสุขภาพจิตเพิ่มขึ้น !

ถ้ามองจากสายตาคนนอกแล้ว ทุกคนจะคิดว่า เธอโชคดีมีครอบครัวที่ดูสมบูรณ์แบบไปหมด แต่ความจริงมันปั่นป่วนเหมือนคลื่นใต้น้ำที่รอวันปะทุขึ้นมา เธอเองสัมผัสถึงปัญหาที่ต่างฝ่าย ต่างไม่สามารถเดินข้ามอุปสรรคปัญหาต่างๆ เข้าไปถึงกันได้ เธอไม่รู้ไม่เข้าใจ ว่าเกิดอะไรกับผู้ชายคนนี้ หรือเขามีปัญหาอะไร เขาต้องการอะไร เพราะเขาไม่เคยพูด ทั้งๆ ที่เธอพยายามซักถาม และพยายามจะหาทางเข้าไปถึงเขา แต่การปฏิเสธไม่ยอมพูดถึงอารมณ์และความรู้สึกของเขาเอง ทำให้กลายเป็นความเครียดที่ 'เบญ' รู้สึกว่าไม่อยากทนต่อไป และทั้งๆ ที่เธอเองก็ไม่มีชายอื่น แต่เธอก็ไม่นึกอยากจะอยู่กับเขาต่อไป !

ทุกวันนี้ ทุกครั้งที่มองไปที่สามี เธอรู้สึกหมือนเขาเป็นกระจกที่สะท้อนภาพความไม่เป็นที่ปรารถนา ของตัวเธอเอง ความไม่ใส่ใจสนใจอะไรที่เกี่ยวกับตัวเธอเลย มันทำให้เธอรู้สึกเกลียดภาพตรงหน้า แล้วเธอก็อยากจะทำลายกระจกบานนั้นเสีย เพื่อจะได้ไม่ต้องมองเห็นตัวเองเป็นคนมีปัญหาอีกต่อไป

เป็นที่น่าสังเกตว่า ลักษณะคำพูดและคำอธิบายของ 'เบญ' ทำให้เห็นว่าเธอเป็นผู้หญิงมีการศึกษา มีสติปัญญา และมีความสามารถในการติดต่อสื่อสารได้อย่างดี แต่คู่กรณีของเธอกลับเป็นฝ่ายที่ไม่สามารถ หรือไม่ต้องการที่จะสื่อกับเธอให้รู้เรื่องได้เลย

ที่สำคัญ เขาไม่ต้องการจะเปิดเผยทัศนคติ และความเชื่อของเขาออกมาให้คนหนึ่งคนได้รับรู้ โดยเฉพาะการที่เขาควรจะไปพบจิตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญทางด้านเพศ เช่นที่ 'ชมรมเพศศาสตร์ศึกษา' ซึ่งจะช่วยให้ผู้มีปัญหาลักษณะนี้สามารถตรวจสอบ และมองเห็นพฤติกรรมตนเองมากขึ้น และเป็นการช่วยให้ได้มีการพัฒนาปรับปรุงเปลี่ยนแปลงเพื่อสร้างความสุขทางครอบครัวทั้งทางร่างกาย และจิตใจต่อไป

ทั้งนี้หากจะวิเคราะห์ไป ว่าฝ่ายชายอาจมีทัศนคติและความเชื่อในเรื่องเพศอย่างผิดๆ หรือหัวใจของเขาอาจไม่ได้มีความรักให้กับภรรยาเลย หรือเขามีปัญหาทางจิตใจเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ซึ่งการวิเคราะห์โดยผู้มีปัญหาไม่ได้ไปพูดคุย ซักถามได้โดยตรงก็อาจเป็นการวิเคราะห์ที่ผิดพลาดได้ เพราะฉะนั้นจึงเป็นเรื่องจำเป็นที่ 'เบญ' จะต้องพยายามที่จะชักนำสามีให้ไปรับการบำบัด หรือได้มีการพูดคุยกับจิตแพทย์โดยตรง

เช่นเดียวกับกรณีที่สามีมีความต้องการทางเพศสูง จนไม่สนใจว่าภรรยาจะรู้สึก หรือสามารถตอบสนองทางเพศได้เพียงใด การที่สามีหมกมุ่นอยู่แต่ความต้องการของตัวเอง หรือความไม่ต้องการของตัวเอง จนทำให้ภรรยามีความทุกข์ หรือมีปัญหาเกิดขึ้นในการ ดำเนินชีวิตร่วมกัน ทั้งคู่ก็ควรแสวงหาทางออกร่วมกัน โดยปรึกษานักวิชาชีพ และผู้เชี่ยวชาญทางด้านนี้ให้ช่วยแก้ไข

สมัยนี้ เป็นความเชื่อที่ล้าสมัยเกินไปถ้าเห็นว่า การไปพบนักจิตวิทยาและจิตแพทย์ เป็นเรื่องไม่จำเป็น ความจริงแล้วจำเป็นมากทีเดียว !

ยาสตรี

 

ยาสตรีเป็นยาที่ขายดียาหนึ่ง เป็นที่นิยมไม่ว่าจะเป็นหญิงที่รอบเดือนไม่มา หรือชายที่กินเพื่อทดแทนการดื่มสุรา

ส่วนประกอบหลักของยาสตรีมีอยู่สองส่วน คือสมุนไพรโกฏเชียง หรือเป็นที่รู้จักกันในชื่อ ตังกุย กับแอลลกอฮอล์ แอลกอฮอร์ที่มีอยู่เพื่อไว้เป็นตัวสกัดตัวยาออกมา ตัวยาที่ว่าคือ ไฟโตเอสโตรเจน (phytoestrogen)

ยาสตรีที่มีจำหน่ายในประเทไทย มีหลายหลายยี่ห้อ เช่นยาสตรีเพ็ญภาค ยาสตรีเบลโล ฯลฯ เป็นต้น

ส่วนประกอบ ยาสตรีส่วนใหญ่จะประกอบด้วยสมุนไพรขนิดต่างๆ ตามสูตรแต่โบราณดั้งเดิมมา แล้วแต่เจ้าไหนมีสูตรอะไร ส่วนประกอบของยาสตรี เช่น โกฏเชียง, โกฏหัวบัว, ตานเซียม, กิ่งอบเชย, บักดี้, และแอลกอฮอร์

ซึ่งเมื่อนำมาผสมกัน ตัวแอลกอฮอร์ก็จะสกัดเอาสารสำคัญชนิดหนึ่งออกมา เรียก phytoestrogen

Estrogen

เอสโตรเจน เป็นฮอร์โมนเพศหญิงซึ่งร่างกายเราผลิตจากรังไข่ รก หรือต่อมอะดรีนาล estradiol ซึ่งเป็นหนึ่งในเอสโตรเจนหลักๆ 3 ชนิดที่พบในร่างกายมนุษย์ ฮอร์โมนกลุ่มนี้มีผลโดยตรงต่อการแสดงลักษณะ ของเพศหญิง นับตั้งแต่การเข้าสู่วัยเจริญพันธุ์ มีประจำเดือน ตกไข่ ตั้งท้อง ไปจนถึงวัยหมดประจำเดือน estradiol มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อพัฒนาการของเนื้อเยื่อปากมดลูก มดลูกและเต้านม

phytoestrogen

Phytoestrogen เป็นสารอินทรีย์ซึ่งสร้างขึ้นโดยพืช แต่มีคุณสมบัติเช่นเดียวกับเอสโตรเจน สารเหล่านี้พบได้ทั้งในส่วนเมล็ด ลำต้น รากหรือดอก โดยในพืช สารนี้จะทำหน้าที่เป็นสารฆ่า เชื้อรา (fungicide) หรือเป็น phytoalexin นั่นคือเป็นสารเคมีที่พืชสร้างขึ้นมาเพื่อป้องกันตน เองเมื่อถูกรุกรานโดยจุลชีพ phytoestrogen จะมีบางส่วนของสูตรโครงสร้างคล้ายคลึงหรือเทียบได้กับ steroid nucleus ของ estradiol อันเป็นเอสโตรเจนที่พบในธรรมชาติหรือในร่างกายมนุษย์ ดังนั้นเมื่อเสพยาชนิดนี้แล้ว ก็จะมีผลในทาง estrogen ต่อร่างกาย จึงเป็นคำอธิบายว่าทำไมบางคนใช้ยานี้แล้ว ทำให้รอบเดือนมาได้

ยาสตรีไม่ใช่ยาทำแท้ง ยังมีหลายคนเข้าใจผิดว่า ยาสตรีเป็นยาขับเลือด ความจริงยานี้ไม่ใช่ยาขับเลือด ไม่ใช่ยาทำแท้ง ถ้าท้องแล้ว กินจนเมาก็ไม่ออก

กินบ่อยๆ อันตรายไหม กินบ่อยๆ ก็เหมือนคนกินเหล้า เพราะส่วนประกอบหลักของยานี้คือแอลกอฮอร์ มีกลุ่มคนชนบท(ชาย)หลายคนหันมาดื่มยานี้แทนดื่มเหล้า ถ้าใช้บ่อยๆก็อาจติดเหล้าได้

รอบเดือนไม่มา จะทำอย่างไร

รอบเดือนไม่มา มีสาเหตุต่างๆมากมาย หญิงในวัยเจริญพันธ์ (โดยเฉพาะสาวๆที่ยังไม่พร้อมจะมีบุตร ) ถ้าไม่ท้อง ส่วนมากก็มักเป็นจากอารมณ์เครียด วิตกกังวล เมื่อเลือดไม่มา ก็มักจะกินยาสตรีเพื่อให้เลือดมา บางรายก็มา บางรายก็ไม่มา รายที่ไม่มา มาตรวจภายหลังว่าที่ไม่มานั้น เป็นจากการตั้งครรภ์ ก็มักจะมาถามหมอว่า จะเป็นไรกับเด็กในท้องไหม ถ้าท่านพร้อมจะมีบุตร รอบเดือนไม่มา ก็ไม่ควรใช้ยาใดๆโดยไม่ปรึกษาแพทย์

 

เคารพความเป็นส่วนตัว

คู่สมรสที่อยู่กันนานพอควรมักจะละเลยหรือมองข้ามความเป็นส่วนตัวของคู่ได้เสมอ เหตุเพราะต่างก็คิดว่า เมื่อเป็นสามีภริยากันแล้วอะไรๆ ก็เหมือนกับการเป็นคนเดียวกันนั่นเอง ของสิ่งใดเป็นของเธอก็เหมือนของฉัน เรื่องต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องตื้นลึกหนาบางกว้างแคบเท่าใด ก็เป็นจ้องขอรับรู้ด้วย หรือเข้าไปสอดตาดูรูหูฟังให้ได้ ความคิดเห็นการละเมิดสิทธิ์แบบนี้ มักจะทำให้อีกฝ่ายหนึ่งไม่พอใจขึ้นได้ ทั้งยังอาจลุกลามกลายเป็นเรื่องขัดเคือง ถึงกับกล่าวหาว่าไม่มีสมบัติผู้ดีติดตัวมาก็ได้

อรทัย แม่บ้านผู้หญิงเคยเล่าว่า เธอโกรธสามีมากเพราะทุกครั้งที่เธอรับโทรศัพท์คุยกับใครก็ตาม พอวางหูโทรศัพท์สามีก็ซักไซ้ไล่เลียงกับเธอทันทีว่า ใครโทรศัพท์มาพูดเรื่องอะไรกัน ฯลฯ ซึ่งอันที่จริงก็อาจจะเป็นคำถามที่สามีอยากรู้ แต่การซักถามอย่างเอาจริงเอาจัง และเอาเรื่องเหมือนกันตำรวจสอบสวนผู้ต้งอสงสัยแบบเอาเป็นเอาตาย และถามซ้ำซากบ่อยครั้งเพื่อจับผิดแบบนี้ก็น่าสงสัยแกมรำคาญว่าสามีต้องการทราบอะไร เขาอยากรู้จริงๆ หรือเขาเกิดความหึงหวง ไม่ไว้วางใจตัวเธอเหมือนสามีของหญิงบางคน ที่ขาดความมั่นใจในตัวเอง ความไม่พอใจที่สามีชอบถามชอบยุ่งในเรื่องโทรศัพท์ของเธอเช่นนี้ อรทัยก็เลยเสแสร้ง แกล้งบอกชื่ออดีตแฟนของเธอ แล้วเรื่องไม่ควรเป็นเรื่องก็เกิดขึ้นจนได้ ทั้งคู่ทะเลาะกันและไม่พูดจากันไปหลายวัน จนกระทั่งความจริงปรากฏว่า พี่ชายของเธอโทรศัพท์มาเกี่ยวกับธุระบางอย่าง

ฝ่ายแม่บ้านเองก็เช่นกัน อาจจะเกิดความคิดที่ว่า 'ฉันเป็นเมีย ย่อมมีสิทธิ์ที่จะรับรู้ทุกอย่างของสามี' ซึ่งนับเป็นความคิดที่ไม่ถูกนัก คู่สมรสต้องรู้จักเคารพในความเป็นส่วนตัวของกันและกัน เช่น บางคนติดนิสัยอ่านหนังสือก่อนเข้านอน และไม่ต้องการให้ใครรบกวน บางคนเวลานอนไม่ต้องการให้ใครทำเสียงดัง หรือเปิดไฟอ่านหนังสือ ไม่ชอบให้ใครรื้อค้นข้าวของที่เขาเก็บไว้เป็นสมบัติส่วนตัว เช่น สมุดบันทึก จดหมายของที่เก็บไว้ในลิ้นชัก หรือสิ่งของที่เขาใช้เองเป็นประจำ เช่น สบู่ หวี แปรง แก้วน้ำ แม่บ้านก็พึงรู้ว่าสิ่งใดที่เขาไม่ชอบให้ใครเข้าไปยุ่งเกี่ยว ไม่ควรไปหยิบ จับหรือจัด หรือถือโอกาสเปิดจดหมายส่วนตัวออกอ่าน หากเขาไม่อนุญาต นอกจากจะเสียมารยาท แล้วยังดูเหมือนว่าไม่มีความเคารพความเป็นส่วนตัวของผู้อื่นด้วย

แม่บ้านผู้หนึ่งเล่าให้เพื่อนของเธอฟังหลังจากเกิดเรื่อง กล่าวคือ ด้วยความอยากรู้เธอได้เปิดจดหมายของสามีอ่านและสามีจับได้ เขาจึงโกรธมากถึงกับเอ่ยว่า 'ช่างไม่มีสมบัติผู้ดีเสียเลย' ทำเอาทั้งคู่ทะเลาะกันเป็นการใหญ่ เรื่องทำนองนี้เป็นเรื่องแก้ตัวได้ยาก โดยแท้จริงจดหมายนั้นก็มิได้เป็นจดหมายลึกลับหรือปกปิดอะไร เป็นเพียงจดหมายเพื่อนหญิงคนหนึ่ง ที่เคยสนิทสนมกันสมัยเป็นนักศึกษา และเขียนมาเล่าสารทุกข์สุกดิบให้ฟัง แต่แม่บ้านเคยระแวงอยู่แล้วก็เลยขาดสติยั้งคิดเรื่องมารยาทอันดีงามเพราะความอยากรู้ เรื่องนี้ถ้าหากว่าทั้งคู่ไม่มีลูกยึดเหนี่ยวก็คงแตกหัก ชีวิตสมรสล่มสลายเป็นแน่ เพราะสามีถึงกับพูดใส่หน้าว่า 'ผมทนความไม่มีมารยาทแบบนี้ไม่ไหว'

การรู้จักเคารพความเป็นส่วนตัวของกันและกันเป็นสิ่งที่คู่สมรสพึงปฏิบัติ เพื่อยุดชีวิตคู่ให้ยาวนาน และหากรู้ตัวว่าตัวทำผิดก็ควรขอโทษ แทนการจะย้ำซ้ำๆ ว่า ตนมีสิทธิ์ที่จะทำอะไรๆ ได้ในฐานะที่เป็นคู่ชีวิต

 

ส.อินทรสุขศรี

 ตัวเองให้เป็น เห็นตัวเองให้ชัด

หากคุณกำลังปรารถนา ' ใครสักคนหนึ่ง ' ที่หวังให้เขาเป็นคน รู้ใจเรา เข้าใจเรา เห็นคุณค่าของเรา ปลอบใจยามเศร้า เป็นเพื่อนยามเหงา กล่าวคำชื่นชมเสมอ… ทำให้เรารู้สึกหัวใจพองโต ด้วยความรู้สึกฟูฟ่องอิ่มเอิบ

ครั้นเมื่อยังไม่มีแฟนเหมือนเพื่อนๆ ในกลุ่ม ให้รู้สึกน้อยหน้า เป็นปมด้อย ไม่มีอะไรไปคุยโม้โอ้อวด แถมถ้าเจอเพื่อนๆ จงใจหิ้วแฟนหล่อระเบิดหรือสวยเลอเลิศ สมิหรามาอวด กะจะขยำย่ำยีบดขยี้หัวใจเพื่อนฝูงให้ชอกช้ำน้ำลายสอ…ผลการกระทำดังกล่าว ทำให้คุณรู้สึกต่ำต้อยด้อยค่าราคาตก แทบแทรกแผ่นดินหนี

ถ้าคุณมีอาการดังกล่าว แสดงว่าคุณเป็นคนหนึ่งที่กำลังอยู่ในภาวะขาดความนับถือตนเอง หรือ Low self-esteem…พูดภาษาชาวบ้านง่ายๆ ว่า ' รักตัวเองไม่เป็น '

ความนับถือตนเอง (Self-esteem) หมายถึงการที่คุณรู้สึกว่าตนเอง มีคุณค่าเท่าเทียมกับคนอื่น ตระหนักในศักดิ์ศรีและเกียรติภูมิแห่งตน สามารถมีชีวิตอยู่ โดยไม่ต้องได้รับการโอบอุ้มหรือพึ่งพิงคนอื่น

คนที่มีความนับถือตนเองจะสามารถใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุข แม้ในเวลาอยู่คนเดียว เขาก็ไม่เคยรู้สึกเงียบเหงา หงอย เปล่าเปลี่ยว โดดเดี่ยว เดียวดาย อ้างว้าง ว้าเหว่ วังเวงใจ ไร้ที่พึ่ง…เขาจะไม่เคยพูดว่า ' ถ้าฉันขาดเขาไป ฉันคงอยู่ไม่ได้ '…และไม่ค่อยมีเวลาเหลือพอ สำหรับการเซ็งชีวิต

คนที่ขาดความนับถือตนเอง จะมีความสุขได้ยาก เนื่องจากความถนัดส่วนตัว ในการมองตนเองในทางลบ ไม่ตระหนักในความสามารถของตนเอง ทำอะไรก็คงไม่ได้ดี คิดว่าคนอื่นคอยดูถูก…ลึกๆแล้วเขาดูถูกตัวเอง

แม้ตัวเองที่เราคุ้นเคยดีที่สุด ก็ยังไม่สามารถเห็นความดีที่มีอยู่ ก็ย่อมเป็นการยาก ที่จะมองเห็นความดีในผู้อื่นได้ คนที่ขาดความนับถือตนเองจึงมักเป็นคนที่มองคนอื่นในแง่ลบ ชอบหาเรื่องคนอื่น ระแวง คิดว่าคนอื่นนินทาว่าร้ายไม่หวังดีกับตัวเรา มีผลถึงการสื่อสาร - ชอบกัด จิก แขวะคนอื่น จึงมักมีปัญหาทะเลาะเบาะแว้ง เวลาที่เห็นคนอื่นได้ดี ก็ชื่นชมไม่เป็น เป็นแต่อิจฉาริษยา…คนขี้อิจฉาริษยา ชอบนินทาว่าร้ายผู้อื่น แท้ที่จริงก็เป็นผลพวงมาจาก การรักตัวเองไม่เป็น

ใจมนุษย์รับได้ยากที่รู้สึกว่าตัวเองตกต่ำ หากทำให้ตัวเราสูงส่งไม่ได้ ก็ใช้วิธีกดคนอื่นให้ต่ำลง ทำให้เรารู้สึกเหนือกว่า…การคอยจับผิด ตำหนิ นินทา เสียดสี ใส่ร้ายป้ายสี ข่มขู่ เป็นวิธีการพูดกด ให้คนอื่นต่ำลงทั้งสิ้น หลายคนที่ไม่เคยได้รับรู้ความรักจากพ่อแม่ในวัยเด็กทำให้รักตัวเองไม่เป็น การสื่อสารจากพ่อแม่เป็นไปทางลบตลอด ' แกมันแย่ ขี้เกียจสันหลังยาว ใช้ไม่ได้ ' ' มันจะโง่อะไรขนาดนี้ เลขง่ายๆ แค่นี้ก็ยังตอบผิด อีกหน่อยมันจะทำอะไรกิน ' …เด็กเติบโตขึ้นมาโดยไม่เคยรู้ว่ามีอะไรดีๆ ในตัวเอง นำไปสู่การขาดความนับถือตนเอง

แต่หลายครั้งที่ความรักของพ่อแม่ก็เป็นสาเหตุสำคัญ เพราะพ่อแม่รักมาก เลยทำให้เด็กหมดทุกอย่าง จัดแจงทุกอย่างให้โดยเด็กไม่มีส่วนร่วมในการ ตัดสินใจ เสื้อผ้าก็มีคนจัดแจงให้ จะเข้าโรงเรียนใหม่พ่อแม่ก็เลือกให้ เด็กในโรงเรียนดังๆ ส่วนใหญ่เข้าได้ด้วยความสามารถของพ่อแม่ เด็กๆ จึงไม่รู้ว่าตัวเองมีความสามารถอะไร …ชีวิตไม่คุ้นเคยกับความรู้สึก ' ภาคภูมิใจ ' ผลสุดท้ายก็นับถือตัวเองไม่เป็นเหมือนกัน

พ่อแม่เลี้ยงลูกด้วยความรักอย่างเดียวไม่พอ ต้องสื่อ สารทางบวก ด้วย…การสื่อสารทางบวกไม่ได้มีเฉพาะการชื่นชมว่าลูกเก่ง ลูกน่ารัก ฯลฯ เท่านั้น แต่การพูดถึงความรู้สึกดีๆ ที่เกิดขึ้นเมื่อลูกปฏิบัติดีหรือทำงานสำเร็จ และการเปิดโอกาส ให้ลูกได้ตัดสินใจในสิ่งที่เป็นกิจวัตรหรือวิถีชีวิตของเขา…เด็กจะเติบ โตด้วยความภาคภูมิ เป็นเครื่องหล่อเลี้ยงจิตใจ

การขาดความนับถือตนเอง - ไม่ใช่เพราะ ' ไม่มีคุณค่า ' แต่เป็นเพราะ ' ขาดความรู้สึก ว่าตัวเองมีคุณค่า '

ความนับถือตนเองสามารถพัฒนาได้ถ้าคิดเป็น (หรือสัมมาทิฐิ) ความรู้สึกดังกล่าว จะค่อยๆ บังเกิด หากคุณพิจารณาตนเองหรือให้เพื่อนสนิทวิจารณ์อย่างจริงใจ ทั้งส่วนที่เป็นบวก และสิ่งที่เป็นลบ เป็นขั้นตอนแรกของรู้จักตัวเองอย่างถ้วนทั่ว คนทุกคนมีทั้งส่วนดี และส่วนเสียทั้งสิ้น…ไม่มีใครดีเลิศเลอหรือเลวสุดๆ

ตัวคุณเองก็มีทั้งข้อเด่นและข้อด้อย การมองเห็นตัวเองว่ามีแต่ข้อด้อย ทำให้รู้สึกแย่ ไร้ค่า ไม่สมควรมีชีวิตอยู่ กลายเป็นคนเกลียดตัวเอง ทางออกของวัยรุ่นหลายคนคือต้องรีบหาแฟน ตั้งแต่วัยเด็กหรือยอมมีเซ็กส์อย่างง่ายดาย…การได้รู้สึกว่ามีคนมารักเป็น การชดเชย และเติมเต็มส่วนขาดในใจเรา

ผู้หญิงที่กำลังตกทุกข์ได้ยากในเรื่องรัก มักกลายเป็นเหยื่อของผู้ชายที่กำลังอดอยาก ปากแห้งในเรื่องเซ็กส์

การตระหนักในข้อเด่นที่ตัวเรามี เช่น หน้าตาดี บุคลิกภาพดี มีความคิดดี มนุษยสัมพันธ์ดี จิตใจดีงาม สุขภาพดี มีความสามารถพิเศษ ฯลฯ คนเรามันต้องมีอะไรดีสักอย่างหรือหลายอย่าง… ลองหาดูจริงๆ สักทีเถอะ

การมีจุดมุ่งหมายในชีวิตที่เห็นภาพอย่างชัดเจน แทนที่จะมัวแต่นอนฝันกลางวัน ไปเรื่อยเปื่อย จงกระตือรือร้นลงมือแปลงความฝันเป็นความจริง ตัดสินใจเลือกเดิน ในหนทางที่เราเลือกด้วยตัวเราเอง ทั้งหมดนี้คือองค์ประกอบของความนับถือตนเอง โดยมีข้อเด่นหรือศักยภาพในตัวเราเป็นแรงผลักดันไปสู่ความสำเร็จ

ตั้งใจเรียนและทำงาน หากเจอคนที่ถูกใจจึงค่อยๆ พัฒนาความสัมพันธ์จากคนรู้จัก กลายเป็นคนรู้ใจ นำไปสู่การรวมใจและใช้ชีวิตร่วมกันในที่สุด

แต่ถ้าไม่เจอใครเลยสักคน หลายคนมัวแต่เสียใจว่าฉันไม่มีคุณค่าพอที่จะมีคนมารัก และขอแต่งงาน โปรดอย่าใช้วิธีคิดแบบมรว.กีรติ…ขอจงคิดใหม่ว่า เพราะยังไม่มีผู้ชายดีพอ ที่ฉันจะเลือกมาเป็นคู่ และฉันยังมีความสุขแม้ต้องอยู่ด้วยตัวคนเดียว…เขียนลงกระดาษ แปะที่กระจกโต๊ะเครื่องแป้งประจำตัวไว้อ่านทุกตอนเช้า

' ถึงแม้ปราศจากคนที่รักฉัน แต่ฉันก็ยังอิ่มใจที่ฉันรักตัว เองเป็น '

 

ปัจจัย ทางสังคม ค่านิยมทางเพศ

ประสบการณ์ตอนผมไปยุโรป สถานที่สาธารณะ…หนุ่มสาวยืนจูบปากกันอย่างดูดดื่ม… แถมจูบกันตั้งนานด้วย ก็ไม่เห็นมีชาวบ้านชาวเมืองคนไหนให้ความสนใจ…ยกเว้นหนุ่มหล่อ ชาวเอเซียคนหนึ่งที่หน้าตาไม่ต่างจากผู้เขียน

พฤติกรรมทางเพศของมนุษย์เป็นผลพวงจากปัจจัยหลายๆ อย่างทั้งปัจจัยทางชีวภาพ และทางจิตใจ หากแต่การแสดงออกทางเพศจะมากหรือน้อยแค่ไหน มันขึ้นอยู่กับปัจจัย ทางสังคมร่วมด้วย จะมีกิจกรรมแห่งรักมันต้องดูกาลเทศะ…ยิ่งล้ำลึก ยิ่งต้องเป็นส่วนตัว

นี่ถ้าหนุ่มสาวไทยขืนทำแบบเดียวกันในที่สาธารณะ มีหวังถูกตำหนิจากไทยมุง ที่ชำเลืองมองโดยรอบ…ด้วยความหวังดีอยาก ' ร่วมด้วยช่วยกัน '

ฝรั่งคู่นั้นเอง ถ้ามาเที่ยวเมืองไทย มาจูบกันแบบเดิมก็เป็นเรื่องไม่สมควร… เพราะวัฒนธรรมไทยถือว่าการแสดงความรักด้วยการจูบจะเหมาะสมหากกระทำ ในที่ลับหูลับตาผู้คน ไม่เกิดภาพไปกระแทก ' ริดสีดวงใจ ' ของมวลมหาชน

วัฒนธรรมจึงเป็นบรรทัดฐานในการประเมินพฤติกรรมว่าถูกต้อง - ผิด, เหมาะสม - ไม่สมควร, ดี ชั่ว

จารีต ธรรมเนียมปฏิบัติในกิจกรรมต่างๆ ของมนุษย์มีความแตกต่างกันในแต่ละชุมชน หนุ่มสาวยุค 2000 ท่ามกลางสังคมไทย ที่คละเคล้าไปด้วยวัฒนธรรมไทยที่ถือปฏิบัติมา แต่ดั้งเดิมแต่ถูกผสมผสานกับวัฒนธรรมตะวันตกที่ทั้งฮิตทั้งฮ็อต…จึงตกอยู่ใน ภาวะสับสน ในค่านิยมปฏิบัติทางเพศที่มีความแตกต่างกันในสองวัฒนธรรม

กระแสวัฒนธรรมตะวันตกส่วนหนึ่งหลั่งไหลผ่าน ' สื่อภาพยนต์ ' ฮอลลีวู้ด ทะลุสายตา แทรกซึมสู่สมอง สนองเป็นการปฏิบัติตามค่านิยมใหม่ๆ โดยเฉพาะ ค่านิยมเรื่องเพศ

ผมสรุปค่านิยมทางเพศที่เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมทางเพศของหญิงไทย ที่สำคัญได้ 3 อย่าง

ผู้หญิงกล้าแสดงออกมากขึ้น …สมัยก่อนถ้าสาวชอบใจหนุ่มคนไหน ก็คงต้องสงวนท่าที สังคมไทยสมัยก่อนไม่อนุญาตให้ผู้หญิงเป็นฝ่ายเริ่มต้น ต้องเปิดโอกาสให้ผู้ชายเป็นฝ่ายจีบก่อน ผู้หญิงคงทำได้แค่ชม้ายชายตา…เดี๋ยวนี้ถ้าดูหนังฝรั่ง ผู้หญิงเป็นฝ่ายเริ่มจีบผู้ชายก่อนแล้ว ยกตัวอย่างสักสองเรื่อง Nothing Hill จูเลีย โรเบิร์ต นางเอกปิ๊งพระเอกหนุ่มคนขายหนังสือ เลยเป็นฝ่ายขอความรักซะเอง ตอนแรกพระเอกก็รักนวลสงวนตัว ตอนจบกลับเปลี่ยนใจยอมเป็นของนางเอกคนสวย, Bouce กวินเน็ท แพทโธรว์นางเอก สูญเสียสามีจากเครื่องบินตก พระเอกหนุ่มของเราคอยมาดูแลช่วยเหลือ จนนางเอกถูกชะตา เลยเริ่มเป็นฝ่ายนัดหมาย และ 'จีบ' ซะเลย…ปัจจุบันสาวไทยกล้าบอกรักชายหนุ่มมากขึ้น แทนที่จะมัวทอดสะพาน เหมือนแต่ก่อน…เดี๋ยวนี้ เขา 'พัฒนา' แล้ว !

ท่าทางในการมีเพศสัมพันธ์ …แต่ดั้งแต่เดิมมา ' Missionary Position ' หรือท่าหญิงอยู่ล่าง ชายอยู่บนได้รับความนิยมมาตลอดทุกยุคทุกสมัย ผลการเรียกร้องสิทธิสตรี… ไม่ยอมแล้วที่จะให้ผู้หญิงเป็นวัตถุทางเพศให้ฝ่ายชายระบายความต้องการอยู่ ข้างเดียว ตอนนี้เห็นมีแต่ 'Woman on top' มาแรงแซงทุกท่า ยกตัวอย่างหนังดังถ่ายทำในเมืองไทย โดยพระเอกดัง ลีโอนาโด หวานใจสาวๆ ในหนังเรื่อง The Beach ตอนมาขึ้น ฝั่งกับ ' เจ้าแม่ ' พักด้วยกัน ฉากมีเซ็กส์กัน ผู้ชายนั่ง ผู้หญิงอยู่บน ภาพนี้เห็นถูกก็อปปี้อีกครั้ง ในหนังไทยเรื่อง แม่เบี้ย …ดูเรื่องไหนๆ ก็เห็นเป็นอย่างนี้ไปหมดแล้ว

มีเซ็กส์กันง่ายดาย … รู้จักกันไม่กี่วัน ก็สนุกกันซะแล้ว จำฉากในรถเก๋ง บนเรือไตตานิคได้ไหม แหม ! ทั้งที่แจ็คกับโรสเพิ่งรู้จักกันได้สองสามวันเอง เขาทั้งสอง ก็เป็นพระเอกนางเอกในดวงใจของเราอยู่ ก็ไม่เห็นจะมีใครตำหนิติเตียนอะไร หนังไทยเอาอย่างมั่ง แม่เบี้ยมาอีกแล้ว แถมเน้นย้ำฉากอิโรติกซ้ำแล้วซ้ำเล่า กะเร้าใจท่านผู้ชม…หลายคู่ดูจบ ชวนกันสวมบทพระบทนางให้รู้แล้วรู้รอดไป…

การวิจัยในปัจจุบันพบว่า วัยรุ่นมากกว่าครึ่งยอมรับการมีเพศสัมพันธ์ในวัยเรียน ว่าเป็นเรื่องธรรมดา… เป็นข้อมูลที่ผู้ใหญ่ควรรู้ ! จะโทษเด็กทั้งหมดคงไม่ได้ เพราะผู้ใหญ่ก็เป็นต้นเหตุอยู่หลายกรณี

วัฒนธรรมตะวันตกโหมกระหน่ำด้วยสื่อเทคโนโลยีทันสมัยเร้าใจ อย่างต่อเนื่อง ในขณะที่วัฒนธรรมไทยอ่อนกำลังลง

เดี๋ยวนี้คำสอนจากผู้ใหญ่หลายอย่างในเรื่องค่านิยมทางเพศกลาย เป็นเรื่องล้าสมัย… ถ้าครูมาสอนบอกว่า เป็นผู้หญิงต้องรักนวลสงวนตัว อดเปรี้ยวไว้กินหวานหรือ อย่าชิงสุกก่อนห่าม…เด็กบางคนอาจกำลังรู้สึกว่า

' ครูสอนเรื่องอะไร เช้ยเชย ! '

' นี่ไม่ใช่ชั่วโมงประวัติศาสตร์นะคะ…'

' หนูไม่เป็นอย่างคุณหญิงกีรติหรอกค่ะคุณครู '

ส่วนวัฒนธรรมไทยในกรณีค่านิยมทางเพศของผู้ชายกลับฝังแน่น กันมานาน น่าจะเปลี่ยนกันเสียที

พฤติกรรมทางเพศของคุณผู้ชายก็เลียนแบบมาจากพระเอกวรรณคดีไทย อย่างขุนช้างขุนแผน กับพระอภัยมณี…ปัจจุบันก็ต้องสร้างค่านิยมใหม่ จะมีเซ็กส์ไปทั่ว เหมือนแต่ก่อน…มันหมดยุคแล้ว ตอนนี้เป็นยุคเอดส์

มีคำกล่าวว่า ' ดูหนังดูละคร แล้วย้อนมาดูตัว '…ดูภาพยนตร์ อ่านวรรณกรรม แล้วต้องพิจารณาปรับปรุงพฤติกรรมของตนเองเพื่อให้ดีขึ้นกว่าเดิม ค่านิยมใดที่ดี ไม่ว่าเก่าหรือใหม่ก็ควรดำรงการปฏิบัติไว้ ค่านิยมใหม่ๆ แม้ดูทันสมัย โก้หรู แต่หากนำชีวิตไปสู่ทางเสื่อม ก็มีวิจารณญาณในการปฏิเสธ…ไม่จำเป็นต้องทำตามอย่างไร้สติ

หากคนเราขาดความยับยั้งชั่งใจ ไม่รู้จักควบคุมความต้องการทางเพศ ต้องมีกิจกรรมทางเพศทุกครั้งที่มีความต้องการก็ไม่ต่างไปจากสิ่งมีชีวิตที่ สมองส่วนหน้า ยังไม่พัฒนาเท่ามนุษย์

ดูภาพยนตร์แล้วเร้าอารมณ์ทางเพศให้ตื่นตัว ไม่รู้จักยับยั้ง ทำอะไรตามใจชอบ แล้วแต่ตัณหาพาไป อย่างนี้ อาจเกิดกรณี ' ดูหนังดูละคร แล้วย้อนมาเสียตัว '

 

รูปภาพที่เกี่ยวข้อง

ติชม


ต้องการให้คะแนนบทความนี้่ ?

สร้างโดย :


sasi

สถานะ : ผู้ใช้ทั่วไป
คอมพิวเตอร์ธุรกิจ